Wednesday, March 28, 2012

งานแต่งงานดาราหนุ่ม แจ๊บ เพ็ญเพชร กับ จูน ธัญนุช สุดหวานชื่น (Jab's Wedding)

งานแต่งงานดาราหนุ่ม แจ๊บ เพ็ญเพชร กับ จูน ธัญนุช สุดหวานชื่น

บรรยากาศงานแต่งงานดาราหนุ่ม แจ็บ เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล กับ จูน ธัญนุช แก้วประสงค์ เมื่อเช้าวันที่ 25 มีนาคม 2555 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นไปอย่างชื่นมื่น

หลังจากที่คบหาดูใจกันได้ 6 เดือน ดาราหนุ่ม แจ๊บ-เพ็ญเพชร เพ็ญกุล ก็ตัดสินใจแต่งงานกับ จูน แฟนสาวนอกวงการ ดีกรีอดีตนางงามมะขาวหวาน จัดขึ้นเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 25 มีนาคม 2555 ที่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 4 บ้านชอน ต.นาป่า อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ได้มีการจัดพิธีมงคลสมรส ระหว่าง แจ๊บ-เพ็ญเพชร เพ็ญกุล เจ้าบ่าวดารานักแสดงชื่อดัง กับ จูน-ธัญญานุช แก้วประสงค์ เจ้าสาววัย 27ปี โดยมีญาติของทั้งสองฝ่ายและชาวบ้านเดินทางมาร่วมงานเป็นสักขีพยานจำนวนมาก

ขณะเดียวกันชาวบ้านที่ทราบข่าวการแต่งงานของดาราดัง ต่างก็เดินทางมายืนดูรอบๆ บริเวณงานอย่างมากมาย โดยหลังจากการจัดพิธีสงฆ์และแห่ขบวนขันหมากสู่ขอเป็นที่เสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นก็มีพิธีหมั้นโดยทั้งสองได้สวมแหวนให้แก่กัน และพิธีรดน้ำสังข์ โดยญาติทั้งสองฝ่ายและเพื่อนฝูงคนสนิทของทั้งสองต่างร่วมรดน้ำสังข์และกล่าวอวยพรให้แก่บ่าวสาวทั้งคู่ จนทำให้ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มและอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา

หลังจากพิธีรดน้ำสังข์เสร็จสิ้นแล้ว ก็เป็นการเลี้ยงฉลองมงคลสมรส งานแต่งงาน แจ๊บ-เพ็ญเพชร เพ็ญกุล กับ จูน ซึ่งจัดขึ้นแบบเรียบง่าย โดยมีโต๊ะจีนราว 50-60 โต๊ะ ต่อมา นพ.พิเชฐ บัญญัติ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ ในฐานะญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวได้ขึ้นเวทีเป็นประธานกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาว หลังจากนั้น น.ส.จุรีย์ ศรีสุวรรณ์ ปลัดอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ได้มอบทะเบียนสมรสให้กับทั้งสอง ขณะเดียวกันหลังจาก แจ็บ รับมอบทะเบียนสมรสได้ไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดเป็นลมบนเวที เนื่องจากทนสภาพอากาศที่ร้อนจัดไม่ไหน จนเพื่อนๆ และญาติๆ ต้องช่วยกันปฐมพยาบาลกันวุ่น กระทั่งอาการดีขึ้นจึงได้เริ่มทำพิธีต่อ

ฝ่ายเจ้าบ่าวได้ยกสินสอดเป็นเงินสด 499,999 บาท พร้อมด้วยทองรูปพรรณ 5 บาท แหวนเพชร 2 วง และเครื่องเพชรอีกราว 3.5 แสนบาท มาเป็นสินสอดทองหมั้นครั้งนี้ โดยแจ๊บ เพ็ญเพชรเผยว่า หลังแต่งงานเตรียมปั๊มลูกทันที


บทสัมภาษณ์เจ้าบ่าว-เจ้าสาว

ตอนที่ขอแต่งงาน แจ๊บ เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล โรแมนติกขนาดไหน?

แจ็บ : ไม่มากครับ ขอแล้วเขาก็แต่งเลย

จูน : เราก็คุยกันว่าถึงเวลาแล้ว ก็มีการคุยกับที่บ้านด้วยแล้วก็ตกลง

คบกันนานแค่ไหนแล้ว?

แจ็บ : สักพักนึง ประมาณ 6 เดือนครับ

คบ 6 เดือนแล้วแต่ง จะเร็วไปไหม?

แจ็บ : ไม่เร็ว จะเริ่มช้าแล้ว เพราะเดี๋ยวมีไม่ทันใช้ ส่วนตัวพี่อยากได้ลูกผู้ชาย แต่จูนอยากได้ลูกผู้หญิง

วันที่พี่แจ็บเข้ามาทำความรู้จักตื่นเต้นไหม?

จูน : ไม่ตื่นเต้นเลยค่ะ ตอนแรกไม่ได้ประทับใจอะไรเขาเพราะคิดว่าเขาเจ้าชู้เหมือนที่มีคนมอง แต่พอได้คุยกันเขาก็สม่ำเสมอ น่ารักดี คุยแล้วนิสัยคล้ายกันก็เลยชอบ

แจ็บ : เลิกเจ้าชู้แล้ว แต่งแล้วก็หยุดครับ

ประทับใจอะไรในตัวว่าที่เจ้าสาว?

แจ็บ : เขาเป็นคนยังไงก็ได้ ไม่ค่อยเครียด อยู่ด้วยแล้วแฮปปี้ อยู่ด้วยแล้วเขาไม่เคยโกรธอะไรเลย ปกติเราทำงานเยอะแล้วหายไป เท่าที่เคยเจอก็จะโทรตาม นี่ไม่มีเลย หายก็หาย เจอก็อารมณ์ดีปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จูน : นิสัยเหมือนกัน อารมณ์ดี อยู่ด้วยกันก็หัวเราะตลอด ไม่มีเรื่องทะเลาะและไม่ค่อยเครียด

จะจัดงานวันไหน?

แจ็บ : จะไปแต่งที่บ้านน้องเขาก่อน ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ ที่ จ.เพชรบูรณ์ แล้วช่วงกลางปีก็จะมาเลี้ยงเพื่อนๆที่กรุงเทพฯ ร้านแถว CDC ที่เพื่อนทำงานอยู่ ต้องดูความเหมาะสมอีกที

สินสอด?

แจ็บ : มีครับ ทางนู้นเรียกไม่เยอะ

แพลนมีทายาทเลยไหม?

แจ็บ : มีเลยก็ดีเพราะปีนี้เป็นปีมังกรทองด้วย

ฮันนีมูนที่ไหน?

แจ็บ : ไปที่ประเทศญี่ปุ่นเพราะจูนอยากไป

เรือนหอ?

แจ็บ :อยู่ที่เกษตร-นวมินทร์

จะสละโสดแล้วเพื่อนในวงการว่าอย่างไรบ้าง?

แจ็บ : จริงๆยังไม่มีใครรู้เท่าไหร่ จะมีแค่เพื่อนสนิทและเพื่อนที่เตะฟุตบอลด้วยกันที่รู้ ก็ขอประกาศเลยแล้วกัน ต้องขอโทษเพื่อนๆ พี่ๆ และผู้ใหญ่ที่เคารพทุกท่านที่ไม่ได้บอกเป็นการส่วนตัวแต่ออกทางสื่อก่อน เดี๋ยวงานเลี้ยงที่กรุงเทพฯแล้วจะเชิญครับ

สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกันและกันบ้าง?

แจ็บ : เคยสัญญากันแล้ว สัญญาก็เป็นสัญญาว่าที่ผ่านมามีข่าวเยอะหน่อย ตั้งแต่นี้ต่อไปก็จะเงียบ ไม่ให้มีข่าวอีก

จูน : อยากให้เหมือนเดิมแบบนี้ตลอด อยู่ด้วยกันหัวเราะทุกวันแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว


Friday, March 23, 2012

เคล็บลับ การครองรักให้ยืนนาน (Guide to stay in love forever)

เคล็บลับ การครองรักให้ยืนนาน

รศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีเคล็ดลับการครองรักให้ยืนนาน มาบอกกับทุกคนโดยเฉพาะคู่รักที่แต่งงานกันแล้ว

1. บอกรักทุกวัน ใคร ๆ ก็อยากได้ยินคำว่า "รัก" จากคนที่ตัวเองรัก เป็นคำที่ฟังได้บ่อยครั้งอย่างไม่รู้เบื่อ และคู่รักส่วนใหญ่มักใช้คำนี้เป็นตัวตัดสินที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน วันนี้คุณบอกรักกับคนรักของคุณหรือยัง? อย่ามัวแต่เขินอายหรือกระดากใจ เพราะคุณสามารถบอกรักได้ทุกวัน เพราะมันจะเป็นเสมือนผงชูรสที่ช่วยชูรสชาติชีวิตรักของคุณให้หอมหวานกลมกล่อม

2. พูดคำหวานให้เป็นเรื่องปกติ เช่น ที่รักจ๊ะ… ที่รักจ๋า เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วนจากคู่รักข้าวใหม่ปลามัน และมักจะหายไปกับกาลเวลา ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็อยากได้ยินจากกันและกัน คำชื่นชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำให้กับคุณ หรือคุณทำให้กับเขาจะเป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้ชีวิตคู่เจริญงอกงามเหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลมีสีสันสวยสดงดงาม เช่น สิ่งที่คุณทำให้กับฉันช่างวิเศษจริง ๆ คุณเป็นคนพิเศษกว่าใคร ๆ ทุกครั้งที่มีปัญหา…คุณทำให้ฉันรู้สึกสบายใจได้เสมอ

3. ขอบคุณ และ ขอโทษ คำสองคำที่จำให้ขึ้นใจ อาจเป็นคำธรรมดา และเป็นคำ ง่าย ๆ ที่หลายคนอาจไม่นึกถึง แต่เป็นคำที่มีความหมายมากสำหรับชีวิตคู่ เพราะยิ่งอยู่ใกล้กันมากอาจทำให้ลืมระวังความรู้สึกละเอียดอ่อนและเปราะบาง ยิ่งรักมาก ก็รู้สึกอ่อนไหวมาก บางครั้งเรื่องเดียวกัน คนอื่นทำอะไรไม่พอใจนั้นอาจทำร้ายความรู้สึกได้ไม่เท่ากับคนรักทำให้เสียใจ พูดคำว่า ขอบคุณ เมื่อคุณรู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำให้กับคุณ เอ่ยคำว่า ขอโทษ เมื่อทำผิดและทำให้เขาต้องเสียใจแม้็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

4. รู้จักถอย และรู้จักยอมให้เป็น โดยไม่มีใครถือทิฐิเพราะความรักไม่มีเรื่องของศักดิ์ศรี และทิฐิต่อกัน

5. ให้อภัยกับคนที่รักเสมอ การให้อภัยคือของขวัญอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าต่อคนรัก ไม่ว่าคุณหรือคนรักจะเคยทำผิดพลาดอะไรลงไปหรือทำผิดต่อกัน ขอเพียงให้อภัยกัน เรื่องเลวร้ายก็จะกลายเป็นเรื่องดี อย่าลืมว่าไม่มีใครที่จะไม่เคยทำผิดในชีวิต

6. อย่าให้น้ำผึ้งพระจันทร์เริ่มขม แต่งงานแล้วเรามักจะวางแผนฮันนีมูนทันที แต่เวลาผ่านไปเรามักคิดถึงการฮันนีมูนเมื่อถึงวาระครบรอบปีเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเราสามารถวางแผนฮันนีมูนบ่อยครั้งเท่าที่ใจเราต้องการ และไม่ต้องรอ จนถึงวันน้ำผึ้งพระจันทร์เริ่มขมเสียก่อนจึงค่อยฮันนีมูนกันอีกรอบ

7. "ให้" แทนการคาดหวัง แน่นอนที่สุดว่าฝ่ายหญิงย่อมต้องการให้ฝ่ายชายรัก และเอาอกเอาใจเธอตลอดไป มีความเสมอต้นเสมอปลายไปรับไปส่งเหมือนอย่างที่รักกันใหม่ ๆ และบอกรักเธอสม่ำเสมอ ในขณะที่ฝ่ายชายก็ต้องการให้ฝ่ายหญิงยังคงความอ่อนหวานน่ารัก ช่างปรนนิบัติเอาใจ คอยดูแลตัวเองให้สวยใสเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ต้องการไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวัง ต่างฝ่ายต่างก็จะผิดหวัง และพยายามเรียกร้องอีกฝ่ายมากขึ้น ก็จะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจในที่สุด ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ให้ ครอบครัวก็จะมีความสุข

8. หนักแน่น มั่นใจกันและกัน ความเชื่อมั่นเป็นหัวใจสำคัญของความรัก เมื่อเชื่อมั่นก็ต้องหนักแน่น เพื่อความมั่นใจในตัวซึ่งกันและกัน เมื่อได้ยินอะไรผ่านเข้ามาในหู ก็ต้องเป็นคนหูหนัก อย่าหูเบาเชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะรังจะเป็นตัวบั่นทอนความรัก และความไว้วางใจที่มีต่อกัน

9. นึกถึงสิ่งที่ดี ๆ เสมอ ครั้งใดที่คุณรู้สึกโกรธคนรัก ให้คิดเสมอว่า อย่างน้อยเขาก็คือคนที่คุณรัก และเขาก็รักคุณ อย่าโกรธกันนานข้ามคืน ให้มองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก อย่ามองเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้คิดเสมอว่า คนรักของคุณก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมทำพลั้งเผลอผิดพลาดกันได้

10. พูดทุกอย่างด้วยความรู้สึกจากใจ อย่าปิดบังและเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริง ถึงคุณและเขาจะรักกันมากเพียงใดก็ตาม ให้จำไว้อย่างว่า ไม่มีใครสามารถจะรู้ใจใครไปได้ทุกเรื่อง บางอย่างอาจเกิดจากการคาดเดา และเมื่อคาดเดาก็อาจทายใจกันผิด ทำให้อีกฝ่ายคิดมากทั้งที่อาจไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ได้


วันนี้วันวานของคุณและคนรักยังหวานอยู่หรือเปล่า? ถ้าคุณรู้สึกว่า ความรักเริ่มจืดจาง หรือเริ่มหวานน้อยลง ลองเติมน้ำหวานให้ความรักของคุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเติมได้ทุกครั้งที่ใจคุณต้องการ รับรองว่าน้ำผึ้งพระจันทร์จะไม่มีวันขมอย่างแน่นอน


credit: http://www.tlcthai.com/women

Monday, March 19, 2012

การ์ดแต่งงาน วุ้นเส้น-ชาคริต (Woonsen-Chakrit wedding invitation card)

ชาคริต ตื่นเต้นใกล้งานแต่ง วุ้นเส้น

ยิ่งใกล้วันวิวาห์ก็ยิ่งดูจะตื่นเต้น สำหรับหนุ่ม ชาคริต แย้มนาม แต่เจ้าตัวก็มุทำงาน จนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอะไรเลย ในงานบวงสรวงละครแม่ยายที่รัก หนุ่มชาคริตได้มาเผยถึงความคืบหน้างานวิวาห์ของตน และสาววุ้นเส้นว่า

ตอนนี้เหลือการ์ดอีก 2 อาทิตย์ ก็น่าจะเสร็จครับ เหลือแต่หาเวลาไปแจกการ์ดผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องชุดของผมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ แต่ของน้องเค้า กำลังอยู่ในขั้นตอนของการตัดครับ แถมงานนี้หนุ่มชาคริตยังออกมาโต้ข่าวชุดแต่งงานหลักล้านว่า ไม่จริงเลยครับ ผมใช้เงินเป็นอยู่นะ เอาเงินเก็บไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า ผมว่าไม่ถึงหลักล้านจริง ๆ ครับ พร้อมกันนี้ หนุ่มชาคริตยังมาเม้าท์ถึงสาววุ้นเส้นที่แอบทำเซอร์ไพรส์หวานหนุ่มชาคริตด้วยดอกกุหลาบและลูกโป่งเต็มห้อง เล่นเอาชาคริตเขินไปเลย เพราะดูเหมือนดอกไม้ของสาววุ้นเส้น จะเยอะกว่าที่หนุ่มคริตเตรียมไว้ให้สาววุ้นเส้นซะอีก

การ์ดแต่งงาน วุ้นเส้น-ชาคริต



Sunday, March 18, 2012

มารยาทในการแต่งกาย เมื่อต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานวิวาห์ (wedding attire etiquette)

ปัจจุบันงานวิวาห์ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ ธีมงาน ความสนุกสนาน และองค์ประกอบของงานเลี้ยงให้สมบูรณ์แบบ น่าประทับใจ จนหลงลืมวัฒนธรรมด้านการแต่งกาย อันถูกต้องเหมาะสมในการมาร่วมงานวิวาห์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเอง หรือแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงความให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่จะแต่งกายอย่างไรให้เหมาะสมกับการมาเป็นส่วนหนึ่งของงานแต่งงาน

ในเรื่องนี้เราได้พี่อุ๋ย อภิชติ ชา-ติวานนท์ เจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง “Peter kelly” ที่บ่าวสาวคนดังหลายคู่ต่างให้ความไว้วางใจในการออกแบบชุดแต่งงานที่เหมาะสม จะบอกเล่าถึงความถูกต้องในการแต่งกายเมื่อต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานแต่งงานให้เราได้เข้าใจอย่างถ่องแท้

การแต่งกายของบ่าวสาว

แรกทีเดียวคงต้องเริ่มจากการแต่งตัวของเจ้าบ่าวให้สมฐานะก่อน เพื่อไม่ให้ดูด้วยกว่าเจ้าสาว ที่มักจะพิถีพิถันเลือกชุดแต่งงานที่เหมาะสมมาใส่ในงานเลี้ยงอยู่แล้ว อย่างเจ้าสาวบางคนใส่ชุดแต่งงานเพื่อต้องการภาพลักษณ์ที่ดูเป็นเจ้าหญิง ถ้าเจ้าบ่าวเลือกสูทที่มันดูเชยๆ ไม่สมตัวมาใส่ แบบนี้เจ้าบ่าวก็จะดูด้อยกว่าเจ้าสาวมาก ดังนั้นควรใส่ใจที่จะขอคำปรึกษาจากดีไซเนอร์เพื่อให้ช่วยเลือกแบบชุดที่ดูเท่าเทียมกัน น่าจะเหมาะสมกว่าการคิดเองเลือกเอง

ที่สำคัญในการเลือกชุดแต่งงานของเจ้าบ่าว ก็ต้องเลือกให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าบ่าวด้วย เช่น เจ้าบ่าวบางคนคิดว่าการสวมสูทสีขาวเพื่ออยากดูเท่ห์ ดูโก้หรู ซึ่งจริงๆ แล้ว สูทสีขาวนั้นไม่ได้เหมาะกับผู้ชายทุกคนนะครับ อย่างเจ้าบ่าวที่หน้าตาธรรมดาๆ ไม่มีจุดเด่นอะไร เช่น คิ้วไม่เข้ม ให้ใส่สูทสีขาวก็คงไม่เหมาะ หรือว่าเจ้าบ่าวทีรูปร่างเล็ก แนะนำให้เจ้าบ่าวใส่สีอ่อน แต่ถ้าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวรูปร่างเล็กทั้งคู่แนะนำให้เจ้าบ่าวใส่สีอ่อนเช่นกัน หรือจะใส่สีขาวก็ได้นะครับ ถ้าเจ้าบ่าวคิ้วเข้มพอ หรือในกรณีที่เจ้าวสาวผิวเข้มกว่าเจ้าวบ่าว ไม่แนะนำให้ใส่สีขาว แต่น่าจะเลือกสวมชุดสีเทาอมเบท ในกรณีที่เจ้าบ่าวตัวใหญ่กว่าเจ้าสาวมากๆ ก็ไม่แนะนำให้ใส่สีดำ เพราะอาจจะเผลอคิดไปว่าจะช่วยพรางรูปร่างได้ ควรเลือกชุดสูทสีเทาอมเบทแทน เพื่อที่จะให้การเลือกสีของเสื้อผ้าช่วยให้เกิดเฉดสีหรือการสร้างให้เกิดแสงเงาระหว่างเจ้าบ่าวและเจ้าสาวแทน

นอกจากนี้ถ้าเจ้าบ่าวตัวเล็กกว่าเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวเลือกสวมสูทสีเบท เทาอมเบท หรือสีอ่อนจะดีกว่า ส่วนเจ้าสาวให้สวมเสื้อแบบลดบ่าลงมาจะช่วยให้การแต่งตัวดูเท่าเทียมกันมากขึ้น อีกกรณีหนึ่งก็คือถ้าเจ้าบ่าวหล่อมากเกินปริมาณความสวยของเจ้าสาวล่ะก็ เจ้าบ่าวก็ควรให้เกียรติเจ้าสาวด้วยการไม่ใส่สูทสีขาว เพราะจะทำดูหล่อมากเกินไป และเจ้าสาวจะดูด้อยลงไปทันที ละถ้าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวตัวเท่าๆกัน สวยหล่อสมกันแบบนี้สวมดีอะไรก็ได้ครับ ไม่มีปัญหา

“นอกเหนือจากการเลือกชุดแต่งงานให้สมกับฐานะ และเลือกให้เข้ากับบุคลิกของตัวเองแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเลือกชุดแต่งงาน ก็คือ รูปแบบการแต่งงาน ถ้าเป็นงานแบบเอ้าท์ดอร์ (Outdoor) คู่บ่าวสาวก็ไม่ควรแต่งตัวที่ดูหรูหราจนเกินไปนัก ยกเว้นว่างานนั้นจะเลือกจัดเลี้ยงในแบบ Sit-down Dinner ที่ต้องการความหรูหราและเป็นทางการ หรือถ้าจะจัดงานเลี้ยงในห้องบอลรูม ก็ไม่ควรแต่งตัวที่มันดูสบายๆ จนเกินไปนัก เพราะจะไม่เข้ากับบรรยากาศของห้องจัดเลี้ยง

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ หากคุณเลือกจัดงานแบบเอ้าท์ดอร์ หรือจัดงานในห้องจัดเลี้ยงที่มีลักษณะซีทรู หรือแบบห้องที่มีกระจกใสๆ สามารถมองเห็นได้จากข้างนอกที่เป็นสวนละก็ ไม่ควรจะใส่ชุดแต่งงานที่เป็นสูทสีดำหรือเข้มๆ เพราะมันจะทำให้เห็นแต่หัวของเจ้าบ่าวลอยเด่นอยู่ ซึ่งจะให้ให้เสียบุคลิกและไม่โดดเด่น ดังนั้นคุณเจ้าบ่าวควรเลือกชุดสีอ่อน เพื่อให้ดูโดดเด่นและเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่าย”

ดังนั้น การเลือกชุดแต่งงานสำหรับเจ้าบ่าว จึงมีข้อที่ควรคำนึงถึงอยู่ 3 ข้อใหญ่ด้วยกัน ก็คือ

1. ดูบุคลิกว่าเราเหมาะกับชุดแบบไหน สีอะไร

2. ดูว่าเราจัดงานที่ไหน เพื่อเลือกชุดให้เหมาะกับสถานที่นั้นๆ

3. รูปแบบงานเลี้ยงเพื่อจะได้ดูว่าชุดต้องดูหรูหราสง่างามแค่ไหน เพื่อให้เหมาะกับงานเลี้ยงมากที่สุด


“อยากให้เข้าใจว่า งานเลี้ยงฉลองแต่งงานเป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ทุกคนต้องเข้าสังคม ดังนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวควรแต่งกายเพื่อให้เกียรติตัวเอง และผู้ที่มาร่วมงานทุกคนให้มากที่สุด จึงถือว่าเป็นผู้ที่มีมารยาทในการแต่งกายเข้าสังคม”

การแต่งกายของครอบครัวฝ่ายเจ้าภาพ

“ในส่วนของพ่อแม่ญาติพี่น้องของบ่าวสาว ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายของเจ้าภาพ ก็ควรที่จะดูแล และใส่ใจ ในการเลือกเครื่องแต่งกาย หรือชุดที่จะสวมใส่ในงานวิวาห์ด้วย เพราะแขกที่มาร่วมงานจำนวนหนึ่ง ในนั้นคือคนที่คุณรู้จักจึงควรแต่งกายเพื่อให้เกียรติแก่แขก และคู่บ่าวสาว ดังนั้นควรแต่งกายให้ดูดีให้สมฐานะ สมหน้าสมตาบ่าวสาว จึงจะถือว่าเหมาะสม”

การแต่งกายของแขกที่มาร่วมงาน

“เมื่อคู่บ่าวสาว และเจ้าภาพของทั้งสองฝ่ายพิถีพิถันในการแต่งกาย เพื่อให้เกียริตกับแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานเลี้ยงแล้ว แขกที่มาร่วมงานเอง ก็จะต้องแต่งกายให้เกียรติแก่คู่บ่าวสาวด้วยเช่นกัน ซึ่งคงต้องยอมรับว่าสังคมไทยเราได้รับเอาวัฒนธรรมฝรั่ง ในเรื่องของการแต่งงานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต จนปฏิบัติกันอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิธีการต่างๆ รูปแบบการตกแต่งงานเลี้ยง ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่เรากลับรับเอาวัฒนธรรมเหล่านั้นมาไม่ครบ เพราะเราไม่ได้รับเอาวัฒนธรรมส่วนที่ดีๆ ในเรื่องการแต่งกายมาด้วย

ที่บอกอย่างนั้นก็เพราะว่าจากประสบการณ์ของเรานั้นแขกที่มาร่วมงานมักจะไม่กล้าแต่งตัวเกินหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพราะกลัวจะเด่นเกินไปบ้างหรือไปขโมยซีนเจ้าบ่าวเจ้าสาวบ้าง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ทำให้บางครั้งการเลือกเครื่องแต่งกายมาสวมใส่เพื่อไปร่วมงานแต่งงานมันจึงดูด้อยกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวและสไตล์งานเลี้ยงที่ค่อนข้างหรูหรามาก เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้น เราจึงควรพิจารณาถึงการแต่งกายของเราใหม่ให้เหมาะกับเวลาและสถานที่ เพราะตามวัฒนธรรมของฝรั่งเขาถือว่า เป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของงานแต่ง เพราะจะสังเกตว่าถ้าเป็นงานฉลองวิวาห์ของฝรั่งเข้าจะแต่งตัวกันเต็มที่ ชุดออกแบบอย่างดี ใช้ผ้าอย่าดี ตัดเย็บอย่างดีมาร่วมงาน เพราะเขาถือว่าการแต่งตัวดีเทียบเท่าเจ้าบ่าวเจ้าสาว คือการให้เกียรติแก่เจ้าภาพ และตัวของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง

“ในเรื่องของการแต่งตัวเพื่อออกงานสังคมนั้น เราอยากให้ทุกคนได้ไปศึกษาในวัฒนธรรม การเข้าสังคมหรือร่วมงานเลี้ยงของฝรั่งกันดู อาจจะดูจากภาพยนตร์ในช่วงปี 1945-1946 มาดู หรือดูจากแมกกาซีนฝรั่งก็ได้ ซึ่งจะพบว่าทุกคนที่มาร่วมงานจะแต่งตัวได้หรูหราเทียบเท่ากันทุกคน ซึ่งถือเป็นการแต่งกายที่เหมาะสมทั้งในเรื่องของเวลาและสถานที่ด้วย”

พี่อุ๋ยเสริมในตอนท้ายว่า “อยากให้คนไทยทุกคนศึกษาเรื่องการแต่งกายกันใหม่ ทุกวันนี้เราค่อนข้างหลงทางในเรื่องของการแต่งกายกันมาก อย่ามองว่าการแต่งกายที่ผิดมารยาทแบบเดิมๆ เป็นเรื่องที่ถูก ควรแต่งกายให้เกียรติสถานที่ และเจ้าภาพให้มาก เพราะเมื่อภาพรวมในเรื่องของการแต่งกายดูเหมาะสมแล้ว ภายในงานก็จะดูดี ดูสวยงามอย่างลงตัวด้วยครับ”

เมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว งานวิวาห์ที่แสนหรูหรา ก็คงจะมีแต่ภาพสวยๆของคนสวยๆ หล่อๆ ที่แต่งกายอย่างงดงาม มาร่วมงานให้สบายใจสบายตาอย่างแน่นอน


credit: นิตยสาร I DO PLUS

Wednesday, March 14, 2012

งานแต่งงานดาราสาว ปอย ปวีณา และ นักธุรกิจหนุ่ม คุ้ง ธเนศ ฉลองวิวาห์สุดหวาน!

งานแต่งงานดาราสาว ปอย ปวีณา และ นักธุรกิจหนุ่ม คุ้ง ธเนศ ฉลองวิวาห์สุดหวาน

อีกหนึ่งดาราสาวที่จูงมือแฟนหนุ่มเศรษฐีโคราชเข้าพิธีวิวาห์ไปเมื่อคืนที่ผ่านมา สำหรับเจ้าสาวคนล่าสุด ปอย ปวีณา ตันฑ์ศรีสุโรจน์ ดาราสาว และเจ้าบ่าวหนุ่มนักธุรกิจนอกวงการ คุ้ง ธเนศ ครบนพรัตน์ ที่จัดงานแต่งงานกันไปเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ทั้งคู่บ่มเพาะความรักกันมาเป็นเวลา 2 ปี


สำหรับงานวิวาห์สุดหวาน ครั้งนี้ จัดขึ้นที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าบ่าว ก่อนที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองอีกครั้งที่ จ.ตรัง ในวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าสาว ส่วนบรรยากาศภายในงานแต่งก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางบรรดาเหล่านักแสดงจำนวนมากร่วมแสดงความยินดีกันอีกคับคั่งด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ คู่บ่าวสาวคู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันยังเปิดเผยให้ฟังด้วยว่า หลังงานแต่งเตรียมจะบินไปฮันนีมูนสุดสวีทกันที่อิตาลีซะด้วย และพร้อมมีทายาทตัวน้อยทันที




Sunday, March 11, 2012

งานแต่งงาน "น้ำ รพีภัทร"ยกขันหมากขึ้นเชียงใหม่ แต่ง"มินตรา"สุดชื่นมื่น

"น้ำ รพีภัทร"ยกขันหมากขึ้นเชียงใหม่ แต่ง"มินตรา"สุดชื่นมื่น เพื่อนดาราร่วมงานเพียบ!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่10 มีนาคม น้ำ -รพีภัทร เอกพันธ์กุล พระเอกและพิธีกรสังกัดช่อง 7 สี อดีตดัชชี่บอย 2001 อายุ 27 ปี ได้จัดพิธีหมั้นและแต่งงานสุดชื่นมื่นกับ มินตรา หรือ ชนิศา เหลี่ยวไชยพันธุ์ ดัชชี่เกิร์ล ปี 2009 วัย 23 ปี ที่โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางญาติพี่น้องของสองฝ่าย และเพื่อนดารามาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ไผ่- พาทิศ พิสิฐกุล , ไม้ - บวรพจน์ ดัชชี่ 2004 , เอก- รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง , เอี๊ยม - วรรษพร วัฒนากุล เป็นต้น ก่อนจะมีการฉลองสมรสอีกครั้งในวันเสาร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555 ที่กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ พิธีเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยฝ่ายเจ้าบ่าว น้ำ-รพีภัทร ได้จัดขบวนกลองยาว แห่ขันหมากตามประเพณีไทย ประกอบด้วยต้นกล้วย ต้นกล้วย ขนมมงคล และสินสอดทองหมั้น ซึ่งจัดเต็มด้วยเงินสด 1 ล้านบาท ทองรูปพรรณ 10 บาท แหวนเพชร 1 วง เดินเท้ามาจากหน้าวัดลอยเคราะห์ มุ่งหน้าสู่โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน โดยมีขบวนฟ้อนของสาวงาม ที่มีเพื่อนๆ ดาราทั้งหญิงและชายร่วมร่ายรำมาในขบวนอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางความสนใจของชาวเชียงใหม่

ส่วนห้องประกอบพิธีอยู่ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 ของโรงแรมฯ แบ่งเป็นห้องประกอบพิธีหมั้นและผูกข้อมือตามประเพณีล้านนาท่ามกลางญาติผู้ใหญ่และเพื่อนสนิทกว่า 200 คน ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงฉลองในช่วงเที่ยงวันในห้องข้างเคียงท่ามกลางบรรยากาศเรียบง่ายและเป็นกันเอง

พระเอกหนุ่ม น้ำ - รพีภัทร เปิดใจว่า ตัดสินใจมาแต่งงานที่เชียงใหม่ เพราะมินตราเป็นคนเชียงใหม่ พ่อแม่ญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ทั้งหมด แต่จะไปจัดที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง เพื่อญาติฝ่ายตนเองอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่คิดเรื่องมีลูกเพราะต้องดูสุขภาพก่อนว่าพร้อมหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยตรวจสุขภาพเลยทั้งคู่ งานแต่งงานครั้งนี้ คิดว่าพร้อมแล้ว เจอคนที่อยากอยู่ด้วยแล้วเลยไม่อยากรอเวลาให้เสียไปเปล่าๆ อยากทำตามประเพณีเพราะเวลาจะพาไปไหนมาไหนอาจดูไม่ดี เลยอยากทำให้ถูกต้องและคิดว่าเจอคนที่ใช่แล้ว

ของชำร่วยที่คู่บ่าวสาวมอบให้กับแขกที่มาร่วมงานคือ น้ำตาลกรวดหลากสีสันในขวดโหลผูกโบว์อย่างสวยงาม



คลิป งานแต่งงาน น้ำ รพีภัทร - มินตรา 10 มี.ค 2555



คลิป บรรยากาศขบวนแห่ขันหมาก และพิธีแต่งงานแบบไทย ช่วงเช้า




credit: มติชนออนไลน์

Thursday, March 8, 2012

ชวนเจ้าบ่าวมารู้เรื่อง เครื่องแต่งกาย ชุดสูทสากล ทักซิโด้ (Groom Tuxedos - Groom Suits - Groom Attire for Wedding)

ชวนเจ้าบ่าวมารู้เรื่อง เครื่องแต่งกาย ชุดสูทสากล ทักซิโด้ สักนิด!!
เพื่อที่คุณจะได้ดูเท่ห์และสง่างามที่สุดในวันแต่งงาน


(Groom Tuxedos - Groom Suits - Groom Attire for Wedding)

วันแต่งงาน เป็นวันที่พิเศษสุดในชีวิตสำหรับคู่บ่าวสาว โดยปกติเจ้าสาวจะดูแลเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า หน้า ผม อย่างพิเศษสุดอยู่แล้ว ส่วนทางเจ้าบ่าวก็ไม่ควรละเลยในเรื่องของเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองแต่งตัวเชย ๆ แล้วให้เจ้าสาวสวยหรูอยู่คนเดียว จงจำไว้ว่า เจ้าบ่าวคือพระเอกคนเดียวของค่ำคืนนี้เช่นกัน ฉะนั้นเจ้าบ่าวก็ควรที่จะเลือกชุดให้ดูหล่อ เท่ห์ สง่างาม ที่สุดในชีวิต เพื่อเวลาที่คุณควงแขนเจ้าสาวแสนสวยอยู่ในงาน คุณจะได้ดูเท่ห์และสง่างามสมเป็นคู่บ่าวสาวที่โดดเด่นกว่าใครในงานค่ะ

แต่ก่อนที่คุณจะเลือกชุดเจ้าบ่าวในแบบหรือสไตล์ที่คุณชอบหรือเหมาะกับคุณ จำไว้เลยว่าการมีความรู้เรื่องสูทก็ช่วยให้คุณมีชัยไปกว่าครึ่ง เราจึงนำความรู้เรื่อง ชุดเจ้าบ่าว สูทเจ้าบ่าว ทักซิโด้ มาฝากกันในวันนี้ค่ะ ซึ่งในเวลาพิธีการแบบนี้ ชุดสูทจะเป็นชุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากดูเป็นสากลและดูเท่ห์ในแบบฉบับหนุ่มมาดแมนแล้ว สูทที่ตัดเย็บดี ๆ ยังช่วยเสริมบุคลิก และอำพรางจุดบกพร่องสร้างความมั่นใจขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

สำหรับ "ชุดสูทสากล" ที่นิยมกันโดยทั่วไปจะมี 3 สไตล์หลัก ๆ คือ


1. สูทกระดุม 2 เม็ด แถวเดียว

ชุดสูทชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก เนื่องจากจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ชอบใส่ออกงานบ่อยที่สุด ด้วยเสน่ห์ชุดสูทที่ไม่เหมือนใคร คือเป็นปกยาวโค้งลงมาจากคอใช้กระดุมสองเม็ดแถวเดียว คอเสื้อที่ยาวลงมาเป็นรูปตัววี เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตด้านในมากกว่าสูทแบบอื่น ทำให้คนสวมดูสูงเพรียวด้วย

สูทกระดุมสองเม็ดแถวเดียวนี้ เหมาะสำหรับคนที่มีรูปร่างอ้วนมากควรที่จะเลือกสวมชุดนี้ เพราะถ้าสวมเสื้อกั๊กตัวในที่เข้ารูปจะช่วยปกปิดช่วงหน้าท้องได้ ทำให้ดูผอมลง และเหมาะสำหรับเจ้าบ่าวร่างเล็กและมีส่วนสูงกะทัดรัด เพราะทำให้รูปร่างดูสูงขึ้น

2. สูทกระดุม 3 เม็ด แถวเดียว

ชุดสูทนี้เป็นชุดที่ผู้ชายไทยนิยมกันมากที่สุด เพราะถือเป็นแบบที่ทันสมัย ทำให้ดูมีช่วงตัวที่ยาวขึ้นเหมาะสำหรับเจ้าบ่าวที่มีรูปร่างสันทัด นักออกแบบส่วนมากออกแบบมาให้กลัดเฉพาะสองเม็ดบน แม้จะมีบางคนชอบชนิดกลัดกระดุมสามเม็ดที่ดูคลาสสิกกว่า ชุดสูทกระดุมสามเม็ดแถวเดียวนี้มักใช้ใส่ในพิธีงานช่วงกลางวัน และควรเลือกสูทสีเข้มเข้าไว้จะดีกว่าสูทชุดนี้เหมาะสำหรับคนรูปร่างเล็ก ถ้าสวมใส่แล้วจะทำให้ดูสูงเพรียวขึ้น แต่ถ้าเจ้าบ่าวรูปร่างสมาร์ทสูงใหญ่ไหล่กว้าง เลือกสูทแบบกระดุมสองเม็ดหรือสามเม็ดก็ดูดีได้ไม่ยาก


3. สูทกระดุม 6 เม็ด 2 แถว

เป็นชุดสูทที่ออกแบบได้เก๋ไก๋ ลองนึกถึงสูทของสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ ซึ่งมีกระดุมทั้งหมด 6 เม็ด แต่มักติดจริงเพียงสองเม็ด ถือเป็นแบบสากลที่นิยมใส่ออกงานต่างๆ ลักษณะแตกต่างอื่นๆ คือ แหวกด้านข้าง กระเป๋าล่างซ้ายขวามีฝาปิด และมีกระเป๋าเจาะที่หน้าอกหนึ่งที่ ชุดนี้เหมาะสำหรับเจ้าบ่าวที่รูปร่างผอม หรือคนที่มีช่วงคอยาวหุ่นสูงเพรียว สวมใส่แล้วช่วยเสริมบุคลิกให้ดูตัวใหญ่ขึ้น หากเจ้าบ่าวของคุณค่อนข้างเจ้าเนื้อ แต่ปักใจเลือกสูทแบบนี้ไปแล้ว ควรเลือกแพทเทิร์นสวย ๆ และตัดเย็บประณีต และเลือกโทนสีเข้ม เช่น สีดำหรือสีน้ำเงิน ก็สามารถพรางรูปร่างให้ดูผอม และช่วยให้รูปร่างดูสง่าขึ้นได้เช่นกัน


สำหรับ "ชุดสูททักซิโด้" เหมาะสำหรับงานเลี้ยงดินเนอร์ เจ้าบ่าวควรเลือกชุดทักซีโด ซึ่งมีแบบพื้นฐานอยู่ 3 แบบ คือ

1. ชุดสูททักซิโด้ แบบปกไม่มีหยัก

เป็นชุดที่ปกยาวโค้งลงมาจากคอโดยไม่มีหยักแหลม ชุดนี้จะสวมใส่งานแต่งงานตอนกลางคืน ซึ่งเป็นชุดที่ผู้ชายไทยนิยมกันมากที่สุด บางคนอาจเรียกว่า “แบบปกกล้วยหอม” เป็นปกยาวโค้งลงมาจากคอโดยไม่มีหยักแหลม ใช้กระดุมแถวเดียว 1 เม็ด ที่แต่งแล้วช่วยเพิ่มบุคลิกภาพให้ดูดี เพราะจะช่วยให้ช่วงไหล่เด่นขึ้น และคอเสื้อที่ยาวลงมาเป็นรูปตัววี เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตมากกว่าแบบอื่น ทำให้คนสวมดูสูงเพรียวขึ้น แบบปกไม่มีหยักเหมาะกับคนทุกรูปร่าง และสำหรับคนที่อ้วนมาก ควรที่จะเลือกสวมชุดนี้ เพราะเสื้อกั๊กตัวในที่เข้ารูปจะช่วยปกปิดช่วงหน้าท้องได้ ทำให้ดูผอมลง

การแต่งสูทแบบปกไม่มีหยัก จะต้องแต่งประกอบกับเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกแบบเรียบ ๆ (ซึ่งเหมือนกับเสื้อเชิ้ตสากลทั่วไป) หรือคอตั้งปลายพับ(ปกวิงคอลลาร์ : Wing-collar) ทั้งสองแบบจะตีเกล็ด หรือ ติดแถบริ้วที่หน้าอก และต้องใช้ดุมขัดข้อมือและอกเสื้อ พร้อมกับสวมเสื้อกั๊กสีเดียวกับชุดสูทสวมทับอีกชั้น ผูกโบไท (Bow Tie) สีดำ ถ้าหากใส่ชุดสูทสีอื่น เช่น ชุดสูทสีขาว สีครีม โบไทก็ควรมีสีเดียวกับชุดด้วย และควรเพิ่มสีสันด้วยการหาผ้าสีขาวสะอาดปักกระเป๋า หรือนำดอกไม้สวย ๆ มาประดับตรงประเป๋าเสื้อก็สวยเก๋ไปอีกแบบ


2. ชุดสูททักซิโด้แบบปกมีหยัก

แบบปกมีหยัก หรือบางคนอาจเรียกว่า “แบบปกเทเลอร์” เป็นแบบที่มีปกหยักเหมือนสูทธรรมดา ใช้กระดุมแถวเดียว 3 เม็ด ถือเป็นแบบสากลที่นิยมใส่ออกงานต่าง ๆ (รวมถึงงานแต่งงานด้วย) นักออกแบบส่วนมากมักออกแบบมาให้ กลัดเฉพาะสองเม็ดบน แม้จะมีบางคนชอบชนิดกระดุมสามเม็ด ที่ดูคลาสสิกกว่า โดยพับปกลงมาถึงกระดุมเม็ดที่สอง ส่วนเม็ดบนสุดไม่ต้องกลัด แต่ซ่อนอยู่หลังปก ชุดนี้ส่วนมากจะใส่ในพิธีงานช่วงกลางวัน แต่ถ้าอยากประหยัดงบจะใส่ช่วงกลางคืนด้วยก็ไม่ว่ากัน แต่ควรเลือกสูทสีเข้มเข้าไว้จะดีกว่า แบบปกมีหยักนี้ เหมาะกับคนทุกรูปร่าง สวมใส่แล้วดูเท่ไม่ต่างจากชุดสูทหรูที่มีราคาแพง

การแต่งสูทแบบปกมีหยัก จะต้องแต่งประกอบกับเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวคอกว้าง ตามด้วยสวมเสื้อกั๊กสวมทับอีกชั้นด้านใน ผูกโบไทลายไหนก็ได้ แต่ขอให้ถูกกาลเทศะ และเลือกสีให้เข้ากับชุดสูท ปิดท้ายด้วยการสวมสูทตัวนอก เพื่อความสุภาพควรมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดตาปักไว้ในกระเป๋าเสื้อด้วย


3. ชุดสูททักซิโด้แบบปกแหลม

เป็นแบบที่มีปกกว้างกว่าแบบอื่นมาก มีให้เลือกทั้งแบบกระดุมแถวเดียว และสองแถว “ทักซิโด้” เป็นชุดสำหรับตอนกลางคืน แตกต่างจากสูททั่วไปคือปกกว้าง มีทั้งแบบกระดุมแถวเดียวและสองแถว ผ้าด้านหลังจะยาวและรัดรูปมากกว่าชุดสูทแบบอื่น ผู้ที่สวมใส่จึงต้องมีรูปร่างดีอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มบุคลิกภาพให้สง่างามยิ่งขึ้น ในแถบยุโรปหรืออเมริกาถือว่าชุดงานกลางคืนนี้เป็นทางการมากที่สุด แต่ในบ้านเราจะไม่ค่อยนิยมกัน เพราะผู้ชายไทยมีรูปร่างไม่สูงมาก และคนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าสวมใส่แล้วจะดูเหมือนนักมายากล แบบปกแหลมเหมาะสำหรับคนที่มีคอยาว หุ่นสูงเพรียว ส่วนคนที่มีรูปร่างเตี้ย ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชุดนี้ เพราะทรงขากางเกงยาวเมื่อใส่แล้ว ผ้าจะไปกองอยู่ด้านหลังทำให้ดูเตี้ยตันกว่าเดิม

ปกเสื้อต้องเป็นผ้าแพรซาตินหรือผ้าไหมชนิดเนื้อหยาบ ส่วนโบหูกระต่าย ต้องทำจากผ้าประเภทเดียวกัน หูกระต่าย คือสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการเลือกเน็คไท สูททักซีโด้ที่นิยมใช้กันมี 2 แบบ คือ แบบปลายแหลมและแบบปลายมน การผูกหูกระต่ายแบบผีเสื้อเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ถ้าคุณผูกเองไม่เป็นก็มีแบบสำเร็จรูปให้เลือกและสวยงามไม่แพ้กัน


การแต่งกายแบบ Black tie (แบล็กไท) ด้วยชุดทักซิโด้ จะต้องประกอบด้วย เสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกแบบเรียบ ๆ หรือคอตั้งปลายพับ(ปกวิงคอลลาร์ : Wing-collar) ทั้งสองแบบจะตีเกล็ด หรือติดแถบริ้วที่หน้าอกก็ได้ และต้องใช้ดุมขัดข้อมือ และอกเสื้อ คาดทับด้วยผ้าคาดเอว หรือ Cummerbund (คัมเมอร์บันด์) สีดำ (ถ้าเจ้าบ่าวใส่เสื้อกั๊กผ้าคาดเอวไม่จำเป็นต้องใช้) สวมทับด้วยชุดทักซิโด้ ผูกโบไทสีดำหรือสีเข้ม ควรเพิ่มสีสันโดยการใช้ผ้าลินินสีขาวสวย ๆ ปักกระเป๋าไว้ด้วย จะทำให้ชุดดูหรูหราสะดุดตายิ่งขึ้นอีก


» "Black tie (แบล็กไท)" ต่างจาก "Tuxedo (ทักซิโด้)" อย่างไร?


Friday, March 2, 2012

"Black tie (แบล็กไท)" ต่างจาก "Tuxedo (ทักซิโด้)" อย่างไร?

หลายคนอาจสงสัยว่า Black tie (แบล็กไท) คืออะไร? แล้ว "Black tie (แบล็กไท)" ต่างจาก "Tuxedo (ทักซิโด้)" อย่างไร?

วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาจากรายการ The List อัศจรรย์ความรู้ทางช่อง 3 ค่ะ

เรามักจะได้ยินคำว่า Black tie (แบล็กไท) กันอยู่บ่อยๆ และอาจจะสับสนระหว่างคำว่า Black tie (แบล็กไท) กับคำว่า Tuxedo (ทักซิโด้) นั้นเหมือน หรือ ต่างกัน อย่างไร?




คำว่า Black tie (แบล็กไท) นั้นถือกำเนิดมาในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นลักษณะการแต่งกายอย่างหนึ่งของสุภาพบุรุษ ที่เหมาะกับงานที่เป็นทางการหรืองานสังสรรค์หลัง 6 โมงเย็น รวมไปถึงงานพรมแดงในฝั่งฮอลิวูดด้วยค่ะ

ในขณะที่ Tuxedo (ทักซิโด้) คือเสื้อนอกชนิดหนึ่ง ที่ปกเสื้อทำจากผ้าไหมหรือผ้าซาติน และเสื้อทักซิโด้นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายแบบ Black tie (แบล็กไท) นั่นเองค่ะ

นอกจากการใส่เสื้อนอก Tuxedo (ทักซิโด้) แล้ว การแต่งกายแบบ Black tie (แบล็กไท) ยังประกอบไปด้วย กางเกงที่มีเนื้อผ้าและสีที่เข้ากันกับเสื้อนอก และจะมีแถบผ้าซาตินตรงตระเข็บด้านข้างกางเกง แต่กางเกงของชุด Black tie (แบล็กไท) จะไม่มีหูเข็มขัดนะคะ นอกจากนี้เสื้อเชิ๊ตสีขาว ที่สวมใส่ก็จะมีการตบแต่งที่ช่วงอก และคอปกก็จะเป็นแบบเรียบๆ หรือแบบคอตั้งปลายพับ (บางที่เรียกปก คอปีกนก หรือปกวิงคอลลาร์ : Wing-collar)

ส่วนจุดเด่นของชุด Black tie (แบล็กไท) ก็จะมีการผูกหูกระต่าย หรือ Bow tie (โบว์ไท) กับผ้าคาดเอวหรือ Cummerbund (คัมเมอร์บันด์) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากผ้าคาดเอวของทหารอินเดียสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ที่จะสวมใส่พร้อมกับถุงเท้าผ้าไหม และรองเท้าหนังสีดำมัน ซึ่งปัจจุบันการแต่งกายแบบ Black tie (แบล็กไท) ได้รับความนิยมนำมาสวมใส่ในงานพิธีการต่างๆในบ้านเรามากขึ้นค่ะ



เครดิตเนื้อหาจากรายการ The List
ดูรายละเอียดได้ที่: http://www.my3space.com/thelist/video/black-tie-270255/


Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...